"...ทางโลกถ้าขาดสติหลงในสิ่งที่ตัวเองปรารถนา ก็จะทำให้ตัวเองตกระกำลำบากนะ เมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองปรารถนา ก็ดังที่เราเห็นทั่วโลกดินแดน เป็นบ้าเป็นอะไรไป หรือ แม้กระทั่งทำลายชีวิตของตัวเอง ฆ่าตัวเอง ทางธรรมถ้าหลง หลงในยศถาบรรดาศักดิ์ ก็สร้างบาปหาบหามไม่มีที่สิ้นสุด ดังที่เราเห็นครูบาอาจารย์พระผู้หลักผู้ใหญ่ ที่หลงในลาภสักการะยศถาบรรดาศักดิ์ความสรรเสริญเยินยอ และ พระที่หลงอีกหนึ่ง คือพระในภาคปฏิบัติหลงในการรู้เห็น เป็นบ้าซกงกซกเง็กไปก็เยอะ นี่ถ้ามันหลงแล้วมันก็มีผลเสียทั้งนั้นแหละลูก ไม่มีผลดีเลย ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม แต่ถ้าไม่หลงแล้ว มันก็สามารถทำให้ตัวเองตลอดลอดฝั่ง ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม...ถ้ายังมีความหลงอยู่ก็แสดงว่าผิดทั้งนั้นนะลูก เสวยหนึ่ง คำว่าเสวยกับหลงนี่มันเข้ากันได้ หลงโลกหลงทาง เสวยสุขเสวยทุกข์ หลงสุขและหลงทุกข์ มันเข้ากันได้แล้วแต่ที่จะแยกกัน เพราะว่ามันเป็นสมมติ แต่คำสอนนั้น คำว่าเสวยเป็นอันผิดทั้งนั้น แต่นี่เราหลง เราจะต้องเสวยอรหัตตผล ต้องเสวยเป็นพระอรหันต์ให้ได้ มันก็เลยหลงแบบสุด ๆ แบบชนิดที่ว่าโสสุดโสเป็นโสตาย มันก็แปลกนะลูกไม่มีคำว่ากลัวตาย หรือว่าอะไรใด ๆ เลย ไม่ได้คิดว่าวันพรุ่งนี้ หรือกาลเวลาต่อไปหรือข้างหลังที่ผ่านมาแล้ว คิดปัจจุบันเดี๋ยวนี้ขณะนี้ ขณะนี้เดี๋ยวนี้ ก็ไม่มีคำว่า เช้า เที่ยง บ่าย ค่ำ กลางวันกลางคืนไม่มี มีจิตขณะนี้เดี๋ยวนี้ ต้องเป็นพระอรหันต์ให้ได้ หากเป็นความหลง หลงในสิ่งที่ดี มันก็ใช่ แต่มันก็เป็นความหลงเท่าเก่ามัน ก็เหมือนที่พระรูปหนึ่งมาคุยกัน องค์ท่านก็อยากเป็นพระอรหันต์ ทีนี้ก็ปฏิบัติไป ๆ พูดให้ฟังนะที่เจอกัน พอปฏิบัติไป ๆ เกิดสัญญาวิปลาสขึ้น ท่านว่าอย่างนี้นะ มีเสียงบอกว่า "ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว" เมื่อมีเสียงบอกว่าเป็นพระอรหันต์ดีใจลิงโลด เพิ่นว่าอย่างงี้ล่ะนะ ดีใจทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ผ้าจีวรก็โยนทิ้ง ดีใจสุด เหมือนดีใจในทางโลก ที่ได้ลาภสักการะ ได้สิ่งที่ตัวเองปรารถนาหรือต้องการ ดีใจขนาดนั้นดีใจสุด ๆ ทีนี้พระก็มีเสียงสั่งบอกให้ขึ้นไปบนต้นไม้ ไปนั่งอยู่บนต้นไม้ ทางด้านอุบาสกอุบาสิกาก็หลงเหมือนกันอีกล่ะนะ หลงว่าพระรูปนี้เป็นพระอรหันต์ ทีนี้ก็ขึ้นไปอยู่บนคบไม้ ไปนั่งอยู่บนคบไม้ เอาเชือกหย่อนลงมา อุบาสกอุบาสิกาก็เอาปิ่นโตไป ข้าพเจ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว จะเหยียบบนพื้นดินไม่ได้ ต้องอยู่บนคบไม้อย่างงี้นะ โฮ่ะๆ.. ท่านพูดให้ฟังนะ เอ้อ.. นี่ล่ะ มันก็น่าขำนะลูกนะ นี่พระอรหันต์นะลูก นี่หน่ะ!! อรหันต์ผีบ้านะ !! เข้าใจไหม? ก็เลยไปอยู่บนคบไม้อย่างนี้นะ พูดให้พ่อฟังนะ ทีนี้ก็เอาเชือกหย่อนลงมา อุบาสกอุบาสิกาก็เอาปิ่นโตมัดดึงขึ้นไป ไปฉันอยู่บนคบไม้ เพราะว่า พระอรหันต์นั้นจิตสูงว่าอย่างงี้นะ เอ้อ.. ไม่สามารถที่จะเหยียบพื้นดินได้ ไม่รู้ว่าใครบ้าระหว่างพระกับอุบาสกอุบาสิกา ท่านว่าท่านเป็นอยู่ประมาณสักเจ็ดวันนี่ล่ะ ท่านว่า .. เริ่มมีสติ !! เอ้อ.. แล้วเราเป็นอะไร ? ว่าอย่างงี้นะ เอ้า..เราเป็นอะไร แล้วขึ้นมาบนคบไม้ทำไม? วันที่ได้สติโยมเขาไปจังหันเหมือนเดิมว่างั้นล่ะ ขี้เหยี่ยวอยู่บนคบไม้ น้ำไม่อาบไม่สรงเลย วันที่เจ็ด อุบาสกอุบาสิกาก็เอาปิ่นโตไป ก็หย่อนเชือกนั่นแหละ เชือกก็มัดไว้ เอ้า..ครูบาอาจารย์พระอรหันต์ รับภัตราหารช่วงเช้าเถิด เจ้าค่ะ ว่าอย่างงี้นะ เพิ่นก็เลยได้สติ เพิ่นว่างั้น เอ้อ..พอๆ นะ เดี๋ยวพระอรหันต์กำลังจะลงจากคบไม้ เป็นละอายว่าอย่างงี้นะ เอ้อแล้วก็ปีนป่ายลงมา ได้สติเพิ่นว่าไปนั่งซกงกอยู่ ตรึกตรองดูว่าเราเป็นอะไรไป อือ.. เจตนาคือ อยากเป็นพระอรหันต์จึงบรรพชามา เพิ่นว่าอย่างงี้นะ ก็ไม่ทราบว่าพระอรหันต์เป็นยังไง ทีนี้ เวลาปฏิบัติไปๆ มันมีตัวบอกว่า ขณะนี้เดี๋ยวนี้ท่านสิ้นกิเลสแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้ว พอได้ยินว่าท่านสิ้นกิเลสแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้วมันก็เลยเกิดความดีอกดีใจ ลืมหลง ลืมทุกสิ่งอย่าง จนกระทั่งโยนผ้าจีวรทิ้งว่างี้นะ ดีที่ใส่ผ้าสบง แล้วก็ปีนขึ้นไปบนต้นไม้บอกว่าท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่สามารถที่จะเหยียบบนพื้นดินได้ เพราะอรหันต์นั้นสูงส่ง จะต้องอยู่บนคบไม้ฉันอยู่บนคบไม้ บ้าสุดๆนะลูกนะ ท่านพูดให้ฟัง พูดแล้วท่านก็ขำ ในการเป็นบ้าขององค์ท่านนะ แต่พ่อก็ฟังด้วยความเคารพนะ ฟังด้วยความเคารพนะ เอ้า..ใจของเรานี้ ความทะเยอทะยานอยากอย่างสุดโต่งขนาดนั้น แล้วทำไมเราจึงไม่เกิดสัญญาวิปลาสอย่างถึงขั้นสุด ๆ มีแต่ความว่าอยากๆ อยากอยู่ตลอดเวลา ต้องเป็นพระอรหันต์ให้ได้ขณะนี้เดี๋ยวนี้ ทว่าเป็นบ้ามันก็ไม่ได้เป็นบ้าถึงขนาดนั้น เป็นบ้าก็เพียงแต่เกิดน้อยเนื้อต่ำใจอยู่ที่ภูเมืองนะ เราปรารถนาเป็นพระอรหันต์ ไม่สามารถที่จะเป็นได้อีก ไม่สมควรที่จะอยู่ สมควรที่จะตายซะ!! นั่น จึงตัดสินใจที่จะกระโดดหน้าผาตายอยู่ที่ภูเมืองนะ ที่หัวน้ำแม่ปิงชายแดนพม่า ปีพุทธศักราช ๒๕๔๓ แต่ถ้าบารมีสั่งสมอบรมมาไม่ถึง หลวงปู่ก็คงต้องตายอยู่ในช่วงนั้นเวลานั้น กำลังตัดสินใจ คือไม่สามารถที่จะทำให้ตัวเองเป็นพระอรหันต์ได้ บ้าไหมล่ะลูกบ้าไหมล่ะ บ้าอยู่ แต่มันบ้าคนละแบบกับพระรูปนั้น ถึงจะเป็นบ้าอยู่ แต่ว่ายังพอมีสติที่จะดูแลตัวเองได้ ยังบอกว่าตัวนี้ใช่ ตัวนี้ไม่ใช่ ยังพอที่มีสติ แต่มันเผลอ เผลอให้พวกมารเข้าไปครอบครองนครใจ แต่มันไม่สามารถเข้าไปในเมืองใจได้ "ครอบครอง" ลูกเข้าใจไหมครอบครองนครใจ หมายถึงภายนอก เพราะมันดับทั้งโลกตั้งแต่ครองฆราวาสเป็นผ้าขาวมาตั้งแต่ พุทธศักราช ๒๕๔๑ แล้วไง งั้นเมื่อมันดับทั้งโลกแล้ว มันตัดรัก และ ตัดความชังได้ทั้งหมด ตั้งแต่เป็นฆราวาสมา มันครอบครองนครใจได้ แต่มันไม่สามารถเข้าไปสถิตย์ในใจได้ แต่ว่าเราขาดสติ มันก็ไม่เชิง เผลอ เรียกว่าเผลอ ถ้าขาดสติต้องเป็นบ้าไป ถึงระดับเหมือนพระที่พูดไปเบื้องต้น อันนี้มันเป็นการเผลอๆ พักหนึ่งนี่ล่ะ ก็เกิดน้อยเนื้อต่ำใจ พอเกิดน้อยเนื้อต่ำใจมารก็เข้าดลใจปั๊บทันทีเลย กำลังคลานขี้คลานเหยี่ยวอยู่หลายวันเรื่องของเรื่องมัน ทีนี้พอคลานขี้คลานเหยี่ยวอยู่หลายวันมันไปไม่ได้ไงลูก ๗ วัน ๗ คืนที่พ่อไม่ได้ฉันอะไรเลย ไม่สามารถที่จะเดินได้ก็คลานเอา แต่ว่าถ้าจะพูดถึงนะลูกนะ ขนาด ๗ วัน ๗ คืนไม่ได้ฉันอะไรเลยนี่ ลูกลองมาคิดดูว่า ไอ้ตัวหนึ่งทำไมมันจึงไม่เหนื่อย ไม่เปลี้ย คือไอ้มารตัวนั้นที่มันดลใจ อันที่จริงโสสุดโสเป็นโสตายขนาดนั้น พ่อว่ามันน่าจะมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เป็นบ้าหรือวิปลาสหรือตายไปเลย ก็คือขันธ์มันต้องวิบัติ แต่นี้ตั้ง ๗ วัน ๗ คืนคลานขี้คลานเหยี่ยวอยู่อย่างนั้นทำไมขันธ์มันจึงไม่วิบัติ ทำไมมันสามารถที่จะชูกำลังกันได้ เพราะว่าสู้กับมาร..." พระธรรมเทศนา : องค์หลวงปู่น้อยญาณวโร วัดป่าห้วยริน จังหวัดขอนแก่น
top of page
bottom of page
Comments